วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พุทราซุปเปอร์จัมโบ้

ในปี 2543 คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา เกษตรกรผู้มีชื่อเสียงใน ต.บ้านฉาง จ.ระยอง ได้รับคำเชิญจากปลัดกระทรวงเกษตรพม่า ดร.เมียะ หม่อง จึงได้มีโอกาสไปดูงานที่ประเทศพม่า กับคณะของ ดร.ชาตรี พิทักษ์ไพรวัน และได้พบกับพุทราพันธุ์ยักษ์ ที่มีลักษณะพิเศษคือ ผลใหญ่ กรอบ จึงให้ความสนใจนำมาปลูกในประเทศไทย แล้วตั้งชื่อว่า "พุทราซุปเปอร์จัมโบ้"




ปลายปี 2544 จึงได้เผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับพุทราซุปเปอร์จัมโบ้ทางสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อเป็นการชิมลาง ปรากฏว่า มีผู้สนใจสอบถามมามากมาย แต่ยังไม่มีการจำหน่ายกิ่งพันธุ์แต่อย่างใด เนื่องจากคุณวารินทร์ได้ทำการขยายพันธุ์แต่เพียงผู้เดียว เพราะมั่นใจว่าถ้าปล่อยออกมาแล้วจะได้รับการตอบรับอย่างแน่นอน






ลักษณะของพุทรานี้มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ได้แก่ ผลมีขนาดโต (ใหญ่สุด 4 ผลต่อ 1 กิโลกรัม) รูปทรงสวยงามคล้ายผล Apple คือมีลักษณะกลม ก้นหัวบุ๋ม รสชาติดีเยี่ยม หวาน กรอบ ไม่มีกลิ่นพุทราและเมือกเหมือนพุทราทั่วไป นอกจากนั้น ยังง่ายในการดูแลรักษา มีความแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อม ให้ผลผลิตเร็วเพียง 8 เดือน ลำต้นไม่มีหนาม ง่ายต่อการเก็บเกี่ยว




โดยปกติแล้ว พุทราจะสามารถออกดอกและติดผลได้ตลอดปี แต่คุณวารินทร์จะคำนวณให้ผลออกมาให้เก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-ต้นกุมภาพันธ์) เพราะจะเป็นช่วงที่พุทรามีรสชาดดีที่สุด นอกจากนั้น การบังคับให้พุทราออกมาจำหน่ายในช่วงฤดูหนาวยังมีผลในด้านของการตลาดอีกด้วย นั่นคือ ผลผลิตที่ได้จะไม่ตรงกับผลไม้หลักในประเทศ และยังเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้ผลผลิตทีไ่ด้มีราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการเลยทีเดียว






ในปัจจุบัน แนวโน้มทางด้านการรักษาสุขภาพมีมากขึ้น คุณวารินทร์ได้คำนึงถึงเรื่องการผลิตที่ปลอดภัยต่อสารพิษ ประกอบกับพุทราซุปเปอร์จัมโบ้มีผลขนาดใหญ่คุ้มค่าต่อการห่อ ทำให้พุทราที่สวนวารินทร์ ได้รับการห่อทุกลูก พร้อมทั้งใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพในการบำรุง จึงมั่นใจได้ว่าพุทราที่นี่เป็นพุทราที่ปลอดภัยจากสารเคมี










สถานที่จำหน่ายพุทราซุปเปอร์จัมโบ้

1. ร้านสุวรรณชาด (Golden Place) สาขาสะพานสูง และสาขาพระราม 9

2. ตลาดสามย่าน ร้านฉลวย

3. ตลาดสดเทพจินดา บ้านฉาง จ.ระยอง

4. สวนวารินทร์ จ.ระยอง

Miracle ต้นไม้มหัศจรรย์ หวาน แต่ปราศจากน้ำตาล

"ต้นไม้มหัศจรรย์"
ฟังชื่อแล้วก็คงจะมีหลายคนอยากรู้ว่ามันเป็นต้นอะไร และมีความมหัศจรรย์อย่างไร !?!



ต้นมหัศจรรย์ (Miracle) จัดเป็นต้นไม้ที่แปลกประหลาดและหายากชนิดหนึ่ง
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกาตะวันตก แต่คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา นำมาจากรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
เมื่อปี 2532

ต้นมหัศจรรย์มีขนาดทรงพุ่มกะทัดรัด ผลมีสีแดงสดใส ออกผลเกือบตลอดปี
มีคุณสมบัติเด่นคือ ดอกเวลาบานจะหอมเย็น ส่วนผลเมื่อรับประทานแม้เพียงเล็กน้อยภายในเวลาเพียง 2 นาที
แล้วไปกินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะม่วง มะขาม มะดัน มะยม ระกำ ฯลฯ
จะทำให้รสเปรี้ยวนั้นเปลี่ยนเป็นหวานทันที

ต้นมหัศจรรย์ถูกนำเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2532 โดยคุณวารินทร์ ชิตะปัญญา นำเข้ามาจากรัฐควีนส์แลนด์
ประเทศออสเตรเลีย ทั้งยังได้ทำการเพาะขยายพันธุ์เอาไว้หลายร้อยต้นเพื่อจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจไม้แปลกชนิดนี้

สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับต้นมหัศจรรย์นั้น อาจารย์ อานนท์ เอื้อตระกูล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญองค์การการค้าประจำประเทศกานา
ในช่วง พ.ศ.2532-2535 ได้เขียนถึงต้นไม้มหัศจรรย์นี้ว่า เป็นพืชของประเทศกานา (ประเทศในแถบแอฟริกา)
ที่มีการปลูกมากที่สุด เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศยุโรปและอเมริกา เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายต้นกานพลู
ดอกเล็กๆคล้ายดอกแก้ว แต่เล็กกว่าและมีกลิ่นหอมเช่นเดียวกัน ผลเมื่อยังอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะมีสีแดงทั้งผล

จากการศึกษาอย่างละเอียดนั้น พบว่าต้นมหัศจรรย์นี้นิยมปลูกอยู่ใต้ต้นไม้ เช่นใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ต้นลูกจันทน์
หรือต้นขนุน เป็นต้น ลำต้นจะมีขนาดความสูงไม่เกิน 2 เมตร ให้ผลผลิตตลอดปี โดยจะให้ผลผลิตมากที่สุดในช่วงฤดูหนาว

นอกจากนี้ ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ได้เคยกล่าวถึงผลไม้มหัศจรรย์นี้เอาไว้ว่ามีชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Synsepalum Dulcificun
เป็นพืชพื้นเมืองของแอฟริกาตะวันตกเขตร้อน มีผลขนาดเล็ก (เท่าเม็ดถั่วลิสง) สีแดง เนื้อในสีขาว มีรสหวานจัดแต่ปราศจากน้ำตาลจึงไม่มีแคลอรีแต่อย่างใด จึงสามารถแทนน้ำตาลสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

ผู้ที่ค้นพบความหวานและความแปลกของไม้มหัศจรรย์นี้ เป็นศาสตราจารย์ทางจิตวิทยา แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล
ในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Mrs.Linda Summerfield เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจเรื่องของจิตวิทยาของการลิ้มรส เธอได้ไปพบและชิมรสชาดของไม้ผลชนิดนี้ในปี 2509 เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา จึงเริ่มงานทดลองเกี่ยวกับผลไม้มหัศจรรย์ เธอได้เขียนรายงานความมหัศจรรย์ของไม้ผลนี้ ที่มีส่วนช่วยในการลดความเครียดของผู้ป่วย ที่มักถูกแพทย์ห้ามรับประทานของหวานหรืออาหารที่มีพลังงานสูง อย่างไรก็ตาม ได้มีการนำผลไม้มหัศจรรย์นี้มาทดลองและวิจัยถึงสารที่มีผลทำให้ลิ้นรับรสความหวานจากอาหารทุกชนิดได้นานเป็นชั่วโมง โดยนักชีวเคมีห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดา จากการค้นคว้า ได้พบว่า ตัวการที่ทำให้เกิดความหวานของผลไม้ชนิดนี้คือ Glycoprotein อันเป็นโปรตีนที่มีน้ำตาลติดอยู่ด้วย สารนี้จะไปเคลือบลิ้นเป็นชั้นบางๆ ติดอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งในระหว่างนั้น การลิ้มรสจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น มะนาวจะมีรสคล้าย Lemonaded (น้ำมะนาวที่มีน้ำตาลผสมอยู่ด้วย) หรือผลสตรอเบอร์รี่ที่ดิบจะมีรสเหมือนผลสุกคล้ายกับว่าถูกเคลือบด้วยน้ำตาลที่มีความหวานอยู่มาก

รวมไปถึงการศึกษาในเรื่องของสารที่อาจจะมีพิษเคลือบแฝงมากับรสชาติที่แสนหวานของต้นไม้มหัศจรรย์นี้ ซึ่งทางกองทัพบกสหรัฐที่เมือง Natick รัฐแมสซาซูเซตส์ บริษัท Meditron แห่งเมือง Wayland รัฐแมสซาซูเซตส์ ก็กำลังเร่งรีบพัฒนาผลิตภัณฑ์ของผลไม้มหัศจรรย์นี้ทางการค้ากันอย่างจริงจัง

ในขณะเดียวกัน ทางบริษัท Meditron ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีความสนใจ และศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผลไม้ชนิดนี้ และให้ชื่อทางการค้าของน้ำผลไม้คั้นนั้นว่า Mirlin





การปลูกเลี้ยง

ต้นมหัศจรรย์ หรือ Miracle นั้น มีนิสัยชอบความชื้นสูง ไม่ชอบแดดจัด ถิ่นดั้งเดิมคงจะขึ้นอยู่ภายในป่าภายใต้ต้นไม้ใหญ่ การปลูกเลี้ยงจึงควรพลางแสงให้บ้าง ประมาณ 50%


ดินปลูก

ควรเป็นดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง ร่วนโปร่ง เช่น ดินขุยไผ่ หรือดินหมักจากใบก้ามปู ร่วมกับเปลือกมะพร้าว สับเป็นชิ้นในอัตรา 2:1 เพื่อให้กาบมะพร้าวสามารถดูดน้ำให้มีความชุ่มชื้นนั่นเอง ควรรดน้ำทุกวัน


การดูแลรักษา

ในระยะต้นเล็กนั้นจะโตช้ามาก ควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 27-5-5 ละลายน้ำประมาณ 1-2 ช้อนชาต่อน้ำ 10 ลิตร ทุก 10 วัน
หลังจากมีอายุ 1 ปีแล้ว ควรเปลี่ยนสูตรปุ๋ยเป็น 16-16-16 หรือ 15-30-15 อัตรา 2-3 ช้น ต่อน้ำ 10 ลิตร ทุกเดือน

การให้ผล
ถ้าได้รับการดูแลดีพอสมควร จะออกดอกภายใน 2 ปี และจะทะยอยออกดอกเรื่อยๆ แต่จะติดผลมากในช่วงฤดูหนาว


Reference:
นิตยสารสวนเกษตร ปีที่ 2 ฉบับที่ 35 ปักษ์หลัง เดือนมกราคม 2544